ชุมชนตำบลกรุงหยันเกิดขึ้นได้อย่างไร
จากการเล่าของคุณตาประทีป กลับดี ผู้อาวุโสของชุมชนตำบลกรุงหยัน “เล่าว่าเมื่อก่อนชุมชนบ้านกรุงหยันเป็นชุมชนเล็ก ๆ มีผู้คนอาศัยอยู่กันอย่างบางเบา ประกอบอาชีพทำไร่นาสวนผสม มีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วย กุ้ง หอย ปู ปลา นา ๆ ชนิด เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2505 ประชากรในตำบลกรุงหยันร้อยละ 80 ได้อพยพมาจากลุ่มน้ำปากพนัง อำเภอปากพนัง อำเภอเชียรใหญ่ อำเภอหัวไทร อำเภอเมือง อำเภอชะอวด อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอจุฬาภรณ์ และอำเภอร่อนพิบูลย์ หลังจากเกิดเหตุการณ์
วาตภัยที่แหลมตะลุมพุก อำเภอปากพนัง เนื่องจากสมัยนั้นอาชีพส่วนใหญ่ของคนลุ่มน้ำปากพนังมีอาชีพทำนา เลี้ยงสัตว์ อาชีพทำนา ได้ผลผลิตตกต่ำและต้องขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและดินฟ้าอากาศ ฝนไม่ตกตามฤดูกาล มีผลทำให้ผลผลิตตกต่ำมาก ยิ่งทำให้ประชากรส่วนใหญ่ในแถบลุ่มน้ำปากพนังมีฐานะยากจน เกิดปัญหาทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง เมื่อเกิดภัยทางธรรมชาติ ในปี พ.ศ. 2505 เหมือนมีการซ้ำเติมตอกย้ำความลำบาก ความยากจนแบบทวีคูณ ประกอบกับพื้นที่ป่าไม้บ้านกรุงหยันลูกลมพัด ต้นไม้โค่นล้มเป็นบริเวณพื้นที่กว้าง
กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้มอบพื้นที่ดังกล่าวให้องค์การสวนยาง ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ สังกัด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในตอนนั้น เข้าทำประโยชน์ในที่ดินองค์การสวนยางจึงทำการตัดต้นไม้เผาป่าเพื่อนำพื้นที่ไปปลูกยางพารา จำเป็นต้องใช้แรงงานจำนวนมากในพื้นที่ ชาวบ้านจากชายฝั่งตะวันออกจึงได้อพยพมาสู่ชุมชนบ้านกรุงหยัน เพื่อมาสมัครเป็นลูกจ้างขององค์การสวนยาง โดยได้รับค่าจ้าง 10 บาทต่อวัน สำหรับลูกจ้างทั่วไปในสมัยนั้น ส่วนหัวหน้าสายงานจะได้รับค่าจ้างตามตำแหน่งหน้าที่ การอพยพของประชากรชาวลุ่มน้ำปากพนังเข้ามารับจ้างในองค์การสวนยางส่วนใหญ่ครั้งนั้นเข้ามาด้วยความยากลำบาก หลาย ๆ คนเจ็บปวดในความเป็นอยู่จากบ้านเกิด เขามาอยู่ในตำบลกรุงหยันด้วยความตั้งใจ ความเป็นอยู่ที่บ้านเดิมมีการดำรงชีวิตแบบช่วยเหลือตนเองมาโดยตลอด เงินที่ได้จากการทำงานก็เก็บออม ข้าวสารที่ใช้บริโภคก็ลูกจ้างที่บ้านส่วนกลาง ในขณะเดียวกันโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้เครื่องจักรไอน้ำซึ่งใช้ไม้เป็นเชื้อเพลิง ด้วยทรัพยากรป่าไม้ซึ่งมีอย่างล้นเหลือ เสาไฟฟ้าตลอดเส้นทางที่ทำด้วยไม้เนื้อแข็งส่วนใหญ่จะเป็นไม้หลุมพอขนาด 6 x 6 นิ้ว ยาว 4.00 เมตร ปัจจุบันยังมีให้เห็นอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ใช้งานแล้ว ไฟฟ้ามีใช้เฉพาะบ้านส่วนกลางและบ้านโรงเรือนเท่านั้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2508 นายสวาท เทพนิช หัวหน้าแผนกงานสวนที่ 1 บ้านช่องดิน ได้สำรวจพื้นที่บริเวณข้างบ้านพักและขอแทรกเตอร์ ดี 8 ขององค์การสวนยางทำการไถดินปิดร่องห้วยแล้วใช้ท่อเหล็กขนาด 12 นิ้ว เพื่อทำการส่งน้ำไปขับใบพัดหรือกังหันต่อเพลาไปยังไดนาโมปั่นไฟฟ้าในบ้านพัก ซึ่งมีลูกจ้างพนักงานจำนวน 107 ครัวเรือน โดยใช้ไฟฟ้าในเรื่องของแสงสว่างเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของชุมชนคิดช่วยเหลือตนเองและส่วนรวมให้มีไฟฟ้าใช้ได้ตลอดทั้งปี อีกทั้งแหล่งน้ำดังกล่าวเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาได้อย่างดี จากภูมิปัญญาของนายสวาท เทพนิช ได้ถูกนำมาใช้ที่บ้านสังข์บุญเมืองและบ้านคลองสังข์ในปี พ.ศ. 2509 ซึ่งมีขนาดครัวเรือนพอ ๆ กัน
จากการที่องค์การสวนยาง ซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐได้เข้ามาอยู่ที่บ้านกรุงหยันทำหน้าที่ปลูกยางพารารายใหญ่ของประเทศ ทำให้องค์การสวนยางกลายเป็นศูนย์กลางทางวิชาการและให้บริการในเรื่องของการทำแปลงสาธิตพันธุ์ยางพาราให้แก่เกษตรกรชุมชนตำบลกรุงหยัน รอบข้างและทั่วไป ความเจริญในด้านเศรษฐกิจของกรุงหยันเริ่มส่งให้เห็นเด่นชัด มีเงินหมุนเวียนมาก มีทรัพยากรมาก มีความสะดวกสบายเกิดขึ้นในชุมชน ด้วยเหตุผลคนลุ่มแม่น้ำปากพนังที่มีฐานะยากจนและช่วยเหลือตนเองมาโดยตลอด เมื่อมาพบแหล่งทำมาหากินที่ดีซึ่งมีความขยันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อรู้จักเก็บออมก็ย่อมประสบความสำเร็จจากความขยันของคนลุ่มน้ำปากพนังก็เลยกลายเป็นที่ทราบโดยทั่วกัน เพราะฉะนั้น “กรุงหยัน” น่าจะมาจากความรุ่งเรืองของชุมชน เปรียบกับกรุงเทพ ฯลฯ หรือเมืองกรุงและชุมชนนี้มีคนขยัน ก็เลยเกิดการเรียกขานโดยทั่วไปว่า “กรุงขยัน” ต่อมาได้กลายเป็น “กรุงหยัน”
ชุมชนกรุงหยัน เมื่อ 50 ปีที่ผ่านมาจะมีความอุดมสมบูรณ์มาก เป็นป่าดิบชื้นเป็นที่อาศัยของสัตว์นับประการ เช่น ช้างป่า เสือ สิงห์โต ค่าง เหม่น สมเสร็จ เลียงผา กระทิง หมูป่า ฯลฯ พืชพรรณธัญญาหารที่สมบูรณ์ ทั้งสมุนไพร มีน้ำสายหลัก 2 สาย คือ คลองกรุงหยันและคลองสังข์ เป็นป่าต้นน้ำของอำเภอทุ่งใหญ่ คลองทั้งสองลำน้ำจะไหลลงสู่แม่น้ำตาปี ประชาชนที่อาศัยอยู่ทั้ง 2 ฝั่งคลองได้ใช้น้ำเพื่ออุปโภค บริโภค และทำการเกษตร อีกทั้งยังเป็นแหล่งอาหาร โดยเฉพาะปลาน้ำจืดนานับชนิด ประชาชนชาวตำบลกรุงหยันร้อยละ 10 เป็นคนลุ่มน้ำปากพนัง จะหาปลา หาหอยเก่งโดยกำเนิดอยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาในการหากินปลาน้ำจืด มีภูมิปัญญาในการจับปลาที่สะสมมาจากบรรพบุรุษ ชาวลุ่มน้ำปากพนังถูกชักนำให้เข้ามาอยู่ในตำบลกรุงหยัน โดยผู้นำที่เป็นชาวบ้านปากพนัง โดยนายเทียบ ยศขุน ชาวอำเภอเชียรใหญ่ โดย นายประทีป กลับดี ชาวอำเภอหัวไทร โดย นายล้อม เรืองคง ชาวอำเภอชะอวด โดย นายเฉลิม พลทิพย์ นายทนงค์ ขาวคง และนายเยื้อน คำนวณ ส่วนอำเภออื่น ๆ นั้นเมื่อญาติ ๆ และเพื่อนบ้านมาทำงานมีความเป็นอยู่ดีขึ้นก็ถูกชักนำเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นายวิรัตน์ เนียมเล็ก ซึ่งเป็นชาวพัทลุงมาทำงานในองค์การสวนยาง ก็ได้ชักนำญาติและเพื่อน ๆ มาอีกทางหนึ่ง แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อย ชาวตำบลกรุงหยันแต่เดิมมีอยู่ 7 หมู่บ้าน ชาวบ้านในหมู่ที่ 2 และหมู่ที่ 7 ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับจ้างกรีดยางพาราและรับราชการขององค์การสวนยาง ส่วนที่เหลือจำนวน 5 หมู่บ้าน คือ หมู่ที่ 1 หมู่ที่ 3 หมู่ที่ 4 หมู่ที่ 5 และหมู่ที่ 6 ประกอบอาชีพทำสวนยางพาราและปาล์มน้ำมัน สำหรับไม้ผลจะปลูกไว้เพื่อบริโภคเท่านั้น ตำบลกรุงหยันมีชุมชนใหญ่คือชุมชนบ้านสี่แยกปี้ ซึ่งกำลังมีปัญหาในเรื่องของการจัดเก็บภาษีโรงเรือนและภาษีป้ายมากที่สุด เพราะเนื่องจากชาวบ้านไม่ค่อยให้ความร่วมมือ และยังไม่เข้าใจว่าเมื่อมีการจัดเก็บภาษีไปแล้วเงินส่วนที่จัดเก็บได้นั้นไปตกอยู่ที่ไหน ทำให้เกิดปัญหาและยากที่จะทำความเข้าใจกัน แต่ขณะนี้ได้รับการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยองค์การบริหารส่วนตำบลกรุงหยันในบางส่วนแล้ว และได้รับความร่วมมือร่วมใจจากชาวตำบลกรุงหยันให้สามารถลดปัญหาได้ในระดับหนึ่ง
องค์การบริหารส่วนตำบลกรุงหยัน เป็นองค์กรที่ใกล้ชิดปัญหาของประชาชน รู้ปัญหาสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งองค์การบริหารส่วนตำบลมีบุคลากรที่มีคุณภาพ ผ่านการฝึกอบรม สัมมนา อีกทั้งผู้บริหารในองค์กรมีประสบการณ์ในการทำงานกับชุมชนมาโดยตลอด มีอำนาจในการตัดสินใจในการใช้จ่ายงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนร่วมกัน ตั้งแต่องค์การบริหารส่วนตำบลกรุงหยันเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2539 มาแล้ว นั้น ความเปลี่ยนแปลงในด้านโครงสร้างพื้นฐานเกิดขึ้นมากมาย และในขณะเดียวกันองค์การบริหารส่วนตำบลกรุงหยันได้มีการจัดให้เจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้เข้าร่วมในการฝึกอบรมหลักสูตรการจัดทำแผนที่ภาษี เพื่อที่จะได้มาพัฒนาการจัดเก็บภาษีขององค์การบริหารส่วนตำบลกรุงหยัน เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้และมีรายได้เพิ่มขึ้นตลอดไป
